วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2562

อูฐ

อูฐ

      สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกคนไปรู้จักกับอูฐกันค่ะ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
หรือหลายคนอาจรู้จักกันเป็นอย่างดี เราไปรู้จักกับพวกเขากันเลยค่ะ


อูฐ

     อูฐ (อังกฤษCamelอาหรับجمليات‎, ญะมัล) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสกุล Camelus จัดอยู่ในวงศ์ Camelidae เป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูง สามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารหรือน้ำเลย 2 สัปดาห์ เพราะมีไขมันสะสมไว้ในหนอกและร่างกายเก็บรักษาน้ำได้เป็นอย่างดี จึงสามารถอยู่ในที่ทุรกันดารเช่นทะเลทรายได้เป็นอย่างดี กินอาหารประเภทใบไม้ในทะเลทราย ตัวโตเต็มที่มีความสูงถึงบ่าประมาณ 1.85 เมตร และหนอกสูงอีก 75 เซนติเมตร ความสามารถ วิ่งได้เร็ว 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเดินด้วยความเร็วคงที่ประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบกน้ำหนักได้ 150-200 กิโลกรัม อุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนแปลงได้จาก 35 องศาเซลเซียสในตอนกลางคืนมาเป็น 41 องศาเซลเซียสในตอนกลางวัน ปัจจุบันสัตว์ในตระกูลอูฐได้ถูกนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจในบางประเทศ แต่ใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ เป็นอาหาร ตัดขน รีดนม และใช้เนื้อเพื่อบริโภค

ประเภท
  สัตว์ที่จัดอยู่ในวงศ์อูฐมีอยู่ 6 ชนิดด้วยกันคือ
  1. อูฐหนอกเดียว (Arabian camel) เป็นอูฐที่มีถิ่นที่อยู่ในออสเตรเลียและตะวันออกกลาง
  2. อูฐสองหนอก (Bactrian camel) มีถิ่นที่อยู่ในแถบเอเชียกลาง
  3. ยามา (llama) มีถิ่นที่อยู่ในอเมริกาใต้
  4. อัลปากา (alpaca) มีถิ่นที่อยู่ในอเมริกาใต้
  5. บิกุญญา (vicuña) มีถิ่นที่อยู่ในอเมริกาใต้
  6. กัวนาโก (guanaco) มีถิ่นที่อยู่ในอเมริกาใต้


จุดกำเนิด

     นักวิทยาศาสตร์พบชิ้นส่วนกระดูกของอูฐบนเกาะของประเทศแคนาดาในเขตอาร์กติก อยู่ในพื้นที่ไกลกว่าจุดเหนือสุดของโลกที่เคยพบฟอสซิลอูฐก่อนหน้านี้ 750 กิโลเมตร แต่นั่นก็เป็นเวลา 3.5 ล้านปีมาแล้ว มีการพบเศษซากกระดูกของอูฐในเกาะเอลเลสเมียร์ ของประเทศแคนาดา ค่อนข้างจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ว่าสัตว์ท่องทะเลทรายอันร้อนระอุชนิดนี้จะเคยมีถิ่นอาศัยในพื้นที่หนาวยะเยือกของเขตอาร์กติก ทีมนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า อูฐในสมัยดึกดำบรรพ์เดินทางไปมาในป่าไม้ที่หนาวเย็นซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน 30 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภูมิในพื้นที่ขณะนั้นสูงกว่าตอนนี้ประมาณ 14-22 องศาเซลเซียส แต่ก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะประมาณ 9 เดือนต่อปี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอูฐได้ปรับสภาพร่างกายให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในเขตขั้วโลกเหนือ โดยหนอกของพวกมันทำหน้าที่สะสมไขมัน ซึ่งจะนำมาใช้ในช่วงอากาศหนาวที่หาอาหารได้ยาก ส่วนเท้าที่แบนและกว้างก็เพื่อช่วยในการทรงตัวขณะเดินบนหิมะ ส่วนในปัจจุบันก็มีประโยชน์ในการประคองร่างกายในทะเลทราย ขณะที่ดวงตาใหญ่โตมีไว้เพื่อหาอาหารในสภาพดินฟ้าอากาศที่มืดครึ้มปีละหลายเดือน นาตาลี ริบซินสกี ผู้ศึกษาซากดึกดำบรรพ์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งแคนาดา ผู้นำการสำรวจในครั้งนี้ เปิดเผยว่า ทีมของเขาพบชิ้นส่วนกระดูกขาล่างของอูฐจำนวน 30 ชิ้น ในดินแดนที่อยู่ในละติจูดสูงสุดในโลกเท่าที่เคยพบมา ซึ่งห่างจากจุดที่เคยพบฟอสซิลสัตว์ชนิดนี้ขึ้นไปทางเหนือ 1,200 กิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อูฐมีการกำเนิดสายพันธุ์ขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อประมาณ 45 ล้านปีก่อน จากนั้นพวกมันก็กระจัดกระจายย้ายถิ่นไปยังยูเรเซียเมื่อ 7 ล้านปีที่แล้ว โดยใช้พื้นดินที่เชื่อมระหว่างอะแลสกาและรัสเซีย (ในปัจจุบัน) ในการเดินทาง ส่วนซากฟอสซิลที่พบล่าสุดนี้อายุประมาณ 3.5 ล้านปี นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้สกัดคอลลาเจนจากกระดูกของฟอสซิลที่พบ และเปรียบเทียบกับอูฐ 37 สปีชีส์ในปัจจุบัน พบว่าซากอูฐที่พบนี้มีลักษณะคล้ายยูคอน อูฐหนอกเดียวขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอูฐหนอกเดียวขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงยุคน้ำแข็ง


ลักษณะของอูฐ
  1. หนอกของอูฐเป็นที่เก็บไขมัน ซึ่งจะดึงออกมาใช้เมื่อไม่มีอาหารกิน และความร้อนที่สะสมในตัวอูฐก็จะลอดออกมาทางหนอกนี้ด้วย
  2. อูฐสามารถอุดจมูกได้ทันทีที่ต้องการ ทำให้พายุทรายกวนใจมันได้ยาก
  3. อูฐมีขนตายาวมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดทรายเข้าตา
  4. อูฐมีพื้นเท้าที่กว้างกว่าสัตว์อื่น ๆ ช่วยไม่ให้จมลงในทรายอ่อน ๆ ได้
  5. อูฐเป็นสัตว์ที่ขยับขาทางด้านเดียวพร้อม ๆ กัน
  6. ท้องของอูฐเป็นที่เก็บน้ำชั้นดี แล้วจะปล่อยออกมาทางระบบย่อยทีละน้อย ๆ ทำให้ย่อยแม้แต่หญ้าแห้งได้
  7. นมของอูฐเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญมาก ในการเดินทางไกลในทะเลทราย
  8. อูฐสามารถเดินฝ่าทะเลทรายได้วันละ 40 กม. ทั้งที่บรรทุกสัมภาระกว่า 100 กก.
  9. ขนของอูฐใช้ทำเสื้อผ้าได้ดีมาก และสามารถทอเป็นพรมได้ด้วย
  10. มูลของอูฐใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงจุดผิงไฟในคืนที่หนาวจัดในทะเลทราย


การปรับตัวของอูฐ
  1. โดยทั่ว ๆ ไป อุณหภูมิร่างกายคนเราจะไม่สูงเกินกว่า 37 องศาเซลเซียสได้มากนัก เมื่ออุณหภูมิสูงกว่าเกณฑ์ ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาเพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายลดลง แต่อูฐจะรับความร้อนได้ถึง 41 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิทั่วไป ในท้องทะเลทรายที่ร้อนระอุ เหงื่อของอูฐถึงจะหลั่งออกมา ดังนั้นอูฐจึงรักษาน้ำเอาไว้ในร่างกายได้มาก เนื่องจากในท้องทะเลทรายอุณหภูมิจะไม่สูงเกิน 41 องศาเซลเซียสตลอดเวลา
  2. ขนอูฐสามารถกันความร้อนภายนอกได้ แต่ขนอูฐจะไม่หนาหรือยาวเกินความจำเป็น มิฉะนั้นเหงื่อซึ่งระบายออกจากร่างกายจะไม่สามารถระเหยได้
  3. ระบบสรีระของอูฐสามารถทนทานต่อการสูญเสียน้ำในร่างกายได้ดี สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวอื่นจะตายทันทีเมื่อร่างกาสูญเสียน้ำเพียงร้อยละ 20 แต่อูฐสามารถทนอยู่ได้ แม้ร่างกายจะสูญเสียน้ำถึง ร้อยละ 40
  4. อูฐดื่มน้ำได้ครั้งละมาก ๆ อูฐบางตัวดื่มน้ำในปริมาณเกือบ 1 ใน 3 ของน้ำหนักตัวภายใน 10 นาที จากเหตุผลที่ว่ามา ทำให้อูฐสามารถเดินทางไกลในทะเลทรายได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำบ่อย ๆ อูฐวิ่งได้เร็วกว่าชั่วโมงละ 16 กิโลเมตร เร็วพอ ๆ กับแกะ ในขณะที่คนวิ่งเร็วที่สุดเพียง 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


การใช้ประโยชน์
นอกจากจะใช้เป็นพานะ และใช้ขน, เนื้อ หรือนมในการบริโภคแล้ว ที่ตุรกียังมีการละเล่นสู้อูฐ โดยเป็นประเพณีที่ทำกันมานานกว่า 2,400 ปีแล้ว จัดขึ้นปีละครั้งในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อูฐตัวผู้จะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวเมีย การสู้อูฐไม่โหดร้ายเหมือนการสู้วัวกระทิง อูฐจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก โดยอูฐตัวใดที่สามารถกดคู่แข่งให้ลงกับพื้นได้ จะเป็นผู้ชนะ ซึ่งอูฐตัวใดที่เป็นแชมป์หรือชนะอยู่เป็นประจำ จะมีค่าตัวนับล้าน นอกจากนี้แล้วยังมีการแข่งวิ่งอูฐ เหมือนกับการแข่งม้า แต่จ็อกกี้จะไม่ขึ้นขี่หลังอูฐ แต่จะควบคุมอูฐด้วยการใช้รีโมตคอนโทรลเป็นแส้ตวัดไปในอากาศ โดยไม่โดนตัวอูฐ ซึ่งจ็อกกี้จะอยู่ในรถยนต์ที่วิ่งไปข้าง ๆ ขนานกับอูฐของตน
นอกจากนี้แล้ว ยังเชื่อมาตั้งแต่โบราณด้วยว่าปัสสาวะของอูฐใช้เป็นยารักษาได้สารพัดโรค แม้กระทั่งโรคมะเร็ง เชื่อว่าการใช้ปัสสาวะอูฐในอัตรา 1:5 ผสมกับนมอูฐ ดื่มเป็นเวลาติดต่อกัน 40 วัน จะทำให้มะเร็งหายได้ ซึ่งในเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการยืนยันทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ใด ๆ เพียงแต่อยู่ในขั้นศึกษาเบื้องต้น

ที่มา: อูฐ

ชะมด

ชะมด

        สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกคนไปรู้จักกับตัวชะมดกันค่ะ ตัวชะมดมีรูปร่างโดยรวม
 คือ ใบหน้าแหลม รูปร่างเพรียว ตัวมีสีเทาหรือนํ้าตาล มีลายจุดสีดำตามยาวทั่วตัว หางและขนหางยาวมีลายเป็นปล้อง สามารถยืดหดเล็บได้เหมือนแมว หรือหลายคนอาจคุ้นเคยกันดี 
ไปรู้จักกับพวกเขากันเลยค่ะ


ความเป็นมา
ชะมด หรือ เห็นอ้ม ในภาษาอีสาน (อังกฤษcivet) เป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในอันดับสัตว์กินเนื้อจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในวงศ์ Viverridae (ในอดีตเคยจัดให้พังพอนอยู่ในวงศ์นี้ด้วย) โดยคำว่า "ชะมด" ในภาษาไทย สันนิษฐานว่ามาจากคำในภาษาอาหรับว่า "อัซซะบาด" (الزباد)
ชะมดมีรูปร่างโดยรวม คือ ใบหน้าแหลม รูปร่างเพรียว ตัวมีสีเทาหรือนํ้าตาล มีลายจุดสีดำตามยาวทั่วตัว หางและขนหางยาวมีลายเป็นปล้อง สามารถยืดหดเล็บได้เหมือนแมว มักออกหากินในเวลากลางคืน เป็นสัตว์ที่กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและสัตว์ เป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศได้หลากหลาย โดยสามารถอาศัยอยู่ในชายป่าใกล้ชุมชนหรือแหล่งเกษตรกรรมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงพื้นที่ชุ่มน้ำคล้ายนากด้วยในบางชนิด มีความปราดเปรียวว่องไว หากินทั้งทั้งบนพื้นดินและบนต้นไม้ บางครั้งอาจเข้ามาขโมยเป็ดไก่หรือธัญพืชไปกินเป็นอาหาร โดยในบางชนิดในแอฟริกายังมีพฤติกรรมขโมยกินน้ำตาลสดจากกระบอกที่มีผู้ไปรองเก็บมาจากงวงตาลได้อีกด้วย ซึ่งน้ำตาลนี้จะนำไปหมักเพื่อทำน้ำตาลเมา 

การกระจายพันธุ์
เป็นสัตว์ที่กระจายพันธุ์ในทวีปเอเชีย ในภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก รวมถึงทวีปแอฟริกาด้วย ในประเทศไทยพบด้วยกันหลายชนิด

ลักษณะเด่น
ลักษณะเด่นอีกประการของชะมด คือ มีต่อมกลิ่นอยู่บริเวณใต้โคนหางใกล้กับรูทวารและอวัยวะเพศ ต่อมนี้มีหน้าที่ผลิตสารเคมีกลิ่นฉุนที่มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ซึ่งสามารถนำไปใช้ผลิตเป็นหัวน้ำหอมหรือยาสมุนไพรได้ โดยเลี้ยงไว้ในกรงและปักเสาไม้ไว้ที่กลางกรง ชะมดจะเอาต่อมเช็ดสารเคมีนี้ทิ้งไว้ นานวันเข้าจะจับตัวเป็นก้อน จึงขูดออกไปขาย ซึ่งมีสนนราคาขายแพงมาก โดยผลิตภัณฑ์ของชะมดที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณอยู่ที่เมืองอาเจะฮ์ในอินโดนีเซีย


การกินอาหาร
นอกจากนี้ ชะมดในสกุล Paradoxurus หรืออีเห็นในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มีการเลี้ยงชะมดในสกุลนี้ให้กินเมล็ดกาแฟ เมื่อถ่ายมูลออกมาแล้ว เมล็ดกาแฟจะไม่ถูกย่อยสลาย จะออกมาเป็นเมล็ดเหมือนเดิม จากนั้นจะนำไปล้างและคั่วเป็นกาแฟสำหรับจำหน่าย ซึ่งกาแฟลักษณะนี้เรียกว่า "กาแฟขี้ชะมด" เป็นกาแฟที่มีรสชาติกลมกล่อม หอมหวาน อร่อยกว่ากาแฟทั่วไป จึงมีราคาขายที่แพงกว่ากาแฟปกติทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากในระบบย่อยอาหารของอีเห็นมีเอนไซม์ที่ทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติที่หอมหวาน
สำหรับในประเทศไทย การเลี้ยงชะมดหรืออีเห็นเพื่อใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ 2 ประการนี้ ยังอยู่ในภาวะเริ่มต้น โดยสวนสัตว์เชียงใหม่เพิ่งสามารถที่จะเพาะขยายพันธุ์ชะมดเช็ดซึ่งเป็นชะมดขนาดเล็กให้ขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้เป็นที่สำเร็จ

การเลี้ยงชะมด
      จุดเริ่มต้นของชะมดเช็ดสำหรับผมนั้นเริ่มจากน้ำปรุง แต่อยากจะเล่าย้อนไปสักหน่อยว่าในช่วงกลางปีที่แล้วได้มีโอกาสร่วมทำจุลนิพนธ์กับน้องๆ นักศึกษาที่มหาลัยศิลปากร ในส่วนของน้ำหอมนั้นเราแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างไม่มีปัญหา แต่จุลนิพนธ์ของน้องๆ ถูกตีกลับจากอาจารย์ที่ปรึกษาเนื่องจากว่าทางอาจารย์อยากให้นำเสนอความเป็นไทยและการพัฒนาน้ำหอมไทยหรือน้ำปรุง ขอยอมรับว่าในตอนนั้นผมมีความรู้เรื่องน้ำปรุงแค่งูๆ ปลาๆ อาจจะไม่ได้มากกว่าท่านอื่นๆ เท่าไร การให้ข้อมูลจึงค่อนข้างจำกัดและดูจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์ให้กับจุลนิพนธ์ของน้องๆ นักศึกษาเลย ถึงแม้ว่าน้องๆ จะพยายามจนปิดเล่มได้และกล่าวขอบคุณ แต่เรื่องนี้ก็หลอกหลอนใจผมตลอดมา
              ผมไปซะสุดแคว้นหลายดินแดนแต่กลับลืมเรื่องใกล้ตัวไป ยิ่งได้มาฟังคลิปจากอาจารย์ ไศลเพชร ศรีสุวรรณ แล้วยิ่งสะอึก อาจารย์กล่าวในตอนท้ายของคลิปเรื่องน้ำปรุงไว้ว่า
   อยากให้เด็กรุ่นใหม่ตระหนักไว้ เราเกิดมาบนแผ่นดิน รื้อฟื้นภูมิปัญญาเก่าจากบรรพบุรุษขึ้นมาบ้าง แล้วก็สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่รอกินแต่สมบัติบรรพบุรุษถ้าบุญเก่าหมดแล้วจะทำยังไง? เราต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อคนรุ่นหลังต่อไป ใครเห็นค่าไม่เห็นค่าช่างมัน ให้สู้ต่อไปแล้ววันหนึ่งประเทศชาติจะขอบคุณเรา


 การอยู่อาศัย
              พูดถึงน้ำปรุงแล้วเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะสืบค้นตำรับที่อธิบายได้ชัดเจน การสืบทอดล้วนแล้วแต่เป็นการบอกเล่าต่อๆ กันมาแต่หากย้อนถามเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็ยากที่จะตอบ แต่ละวังแต่ละสำนักก็จะมีขนบยึดถือไม่เหมือนกันอีก ทว่าโดยรวมแล้วก็จะมีแก่นเหมือนๆ กันคือการร่ำ การลอยดอกไม้ แต่จะดอกอะไรบ้างนั้นก็สุดแล้วแต่จะสรรหา ทีนี้พูดถึงเรื่องการตรึงกลิ่นในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งฟากยุโรปประเทศหรือทางฝั่งบ้านเราก็ดีสารตรึงกลิ่นที่นิยมใช้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ซะเป็นส่วนใหญ่
              เรารู้จักกันเป็นอย่างดีคือมักส์ที่ได้จากกวางมักส์ซึ่งไม่ใช่สัตว์พื้นถิ่นบ้านเรา เมืองไทยเรานั้นแรกเริ่มเดิมทีจะใช้สารตรึงกลิ่นที่ได้จากชะมดเช็ดเสียมากกว่า ซึ่งชะมดเช็ดเป็นสัตว์ป่าที่พบได้ทั่วไปตามป่าในประเทศไทยแถมกลิ่นที่ได้จากไขชะมดเช็ดยังหอมเย้ายวนเข้ากันได้ดีกับกลิ่นดอกไม้ไทยอีกด้วย

ที่มา: ชะมด

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พะยูน

พะยูน

       สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกคนไปรู้จักกับพะยูนกันค่ะ เป็นสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล หรือหลายคนอาจรู้จักกันเป็นอย่างดี ไปรู้จักกับเขากันเลยค่ะ


พะยูน
     พะยูน เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 เป็นสัตว์น้ำชนิดแรกของประเทศไทยที่ถูกกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon อยู่ในอันดับพะยูน (Sirenia)

วิวัฒนาการ
มีการศึกษาพะยูนในทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1776 โดยได้ตัวอย่างต้นแบบจากที่จับได้จากน่านน้ำแหลมกู๊ดโฮปถึงฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายโลมาและวาฬ เดิมจึงถูกจัดรวมอยู่ในอันดับเดียวกันคือ Cetacea แต่จากการศึกษาลักษณะโครงสร้างโดยละเอียดพบว่า มีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ มีขนาดเล็กกว่า หัวกลม รูจมูกแยกจากกัน ปากเล็ก มีฟันหน้าและฟันกรามพัฒนาดี ไม่เป็นฟันยอดแหลมธรรมดาเหมือน ๆ กันอย่างวาฬ และมีเส้นขนที่ริมฝีปากตลอดชีวิต ในปี .1816 อองรี มารี ดูโครเตย์ เดอ แบล็งวีล นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.  ได้ทำการแยกความแตกต่างระหว่างพะยูนกับโลมาและวาฬ ออกจากกันและจัดพะยูนเข้าไว้ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกีบ ในอันดับ Sirenia โดยนับว่าพะยูนมีบรรพบุรุษร่วมกันกับช้างมาก่อน รวมถึงการศึกษาซากโบราณของพะยูนในสกุล Eotheroides ในประเทศอียิปต์
พบว่ามีลักษณะบางอย่างเหมือนและใกล้เคียงกันกับ Moeritherium ซึ่งเป็นต้นตระกูลของช้างยุคอีโอซีนตอนต้น หรือเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว Eotheroides เป็นสัตว์มี 4 ขา มีฟันครบและอาศัยอยู่ในน้ำ ต่อมามีวิวัฒนาการเพื่อให้อาศัยอยู่ในน้ำได้ดีขึ้น โดยที่ขาหลังจะลดขนาดลงและหายไปในที่สุด ส่วนขาหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายใบพายเพื่อให้เหมาะสมกับการว่ายน้ำ จากนั้นก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นพะยูนในปัจจุบัน


ลักษณะเเละพฤติกรรม
พะยูนมีรูปร่างคล้ายแมวน้ำขนาดใหญ่ที่อ้วนกลมเทอะทะ ครีบมีลักษะคล้ายใบพาย ซึ่งวิวัฒนาการมาจากขาหน้าใช้สำหรับพยุงตัวและขุดหาอาหาร ไม่มีครีบหลัง ไม่มีใบหู ตามีขนาดเล็ก ริมฝีปากมีเส้นขนอยู่โดยรอบ ตัวผู้บางตัวเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะมีฟันคู่หนึ่งงอกออกจากปากคล้ายงาช้าง ใช้สำหรับต่อสู้เพื่อแย่งคู่กับใช้ขุดหาอาหาร ในตัวเมียมีนมอยู่ 2 เต้า ขนาดเท่านิ้วก้อย ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ถัดลงมาจากขา คู่หน้า สำหรับเลี้ยงลูกอ่อน มีลำตัวและหางคล้ายโลมา สีสันของลำตัวด้านหลังเป็นสีเทาดำ หายใจทางปอด จึงต้องหายใจบริเวณผิวน้ำ 1-2 นาที อายุ 9-10 ปี สามารถสืบพันธุ์ได้ เวลาท้อง 9-14 เดือน ปกติมีลูกได้ 1 ตัว ไม่เกิน 2 ตัว แรกเกิดยาว 1 เมตร หนัก 15-20 กิโลกรัม ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 1 ปี กินนมและหญ้าทะเลประมาณ 2-3 สัปดาห์ หย่านมประมาณ 8 เดือน อายุประมาณ 70 ปี โดยแม่พะยูนจะดูแลลูกไปจนโต ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 2 เมตร ถึง 3 เมตร น้ำหนักเต็มที่ได้ถึง 300 กิโลกรัม
พะยูนสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานราว 20 นาที เมื่อจะนอนหลับพักผ่อน พะยูนจะทิ้งตัวลงในแนวดิ่ง และนอนอยู่นิ่ง ๆ กับพื้นทะเลราว 20 นาที ก่อนจะขึ้นมาหายใจอีกครั้งหนึ่ง
อาหารของพะยูน ได้แก่ หญ้าทะเล ที่ขึ้นตามแถบชายฝั่งและน้ำตื้น โดยพะยูนมักจะหากินในเวลากลางวัน และใช้เวลานานถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน พฤติกรรมการหากินจะคล้ายกับหมู โดยจะใช้ครีบอกและปากดุนพื้นทรายไถไปเรื่อย ๆ จนบางครั้ง จะเห็นทางยาวตามชายหาด จากพฤติกรรมเช่นนี้ พะยูนจึงได้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "หมูน้ำ" หรือ "หมูดุด" ในแถบจังหวัดจันทบุรี ในบางตัวที่เชื่องมนุษย์ อาจเกาะกินตะไคร่บริเวณใต้ท้องเรือได้


การกระจายพันธุ์
พะยูนพบได้ในทะเลเขตอบอุ่นอย่างกว้างขวางตั้งแต่ชายฝั่งของทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออกมหาสมุทรอินเดียทะเลอันดามันอ่าวไทย, ทะเลจีนใต้ทะเลฟิลิปปินทะเลซูลูทะเลเซเลบีสเกาะชวา จนถึงโซนโอเชียเนีย โดยปกติแล้วมักจะไม่อาศัยอยู่น้ำที่ขุ่น
สำหรับสถานะของพะยูนในประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤต เนื่องจากถูกคุกคามอย่างหนักในเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้พฤติกรรมการหากินเปลี่ยนไปกลายเป็นมักจะหากินเพียงลำพังตัวเดียว ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงที่เดียวในประเทศไทย คือ บริเวณหาดเจ้าไหมและรอบ ๆ เกาะลิบง จังหวัดตรัง เท่านั้น และอาจเป็นไปได้ว่ายังพอมีเหลืออยู่แถบทะเลจังหวัดระยอง แต่ยังไม่มีรายงานที่มีข้อมูลยืนยันถึงเรื่องนี้เพียงพอ
แต่ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2549 มีชาวประมงจับพะยูนตัวหนึ่งได้ ความยาว 2 เมตร น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม ที่อ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรีหลังจากการหายตัวไปนานของพะยูนในแถบนี้นานถึง 34 ปี โดยพะยูนตัวสุดท้ายที่จับได้ในบริเวณนี้คือเมื่อ ปี พ.ศ. 2515
ในปี พ.ศ. 2554 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ทำพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอนุรักษ์และการจัดการพะยูน และแหล่งที่อยู่อาศัยของพะยูนโดยครอบคลุมพื้นที่อาศัยของพะยูนทั้งหมด ระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ/อนุสัญญาว่าด้วยชนิดพันธุ์ที่มีการเคลื่อนย้ายถิ่น โดยที่ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 20 ที่ลงนามในบันทึกความเข้าใจนี้
มีรายงานว่า ประชากรพะยูนที่หลงเหลืออยู่มากที่สุด คือ ออสเตรเลีย มีอยู่ประมาณ 20,000 ตัวโดยสถานที่ ๆ พบมากที่สุด คือ อ่าวชาร์ก ทางภาคตะวันตกของประเทศ มีประมาณ 10,000 ตัว คิดเป็นร้อยละ 12.5 ของประชากรพะยูนทั่วโลก เพราะเป็นสถานที่อุดมไปด้วยหญ้าทะเล ขณะที่ในประเทศไทย สถานที่ ๆ เป็นแหล่งอาศัยแหล่งสุดท้ายของพะยูน คือ ทะเลจังหวัดตรัง โดยพบที่รอบ ๆ เกาะลิบง มากที่สุด คาดว่ามีราว 210 ตัว ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 โดยเฉพาะที่เกาะลิบงนั้นเป็นที่อาศัยของจำนวนประชากรพะยูนในประเทศมากถึงร้อยละ 60-70 ซึ่งปัจจุบันถูกคุกคามอย่างหนัก โดยมีการล่าเอาเนื้อ, กระดูก และเขี้ยวไปขายตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ มีการคำนวณว่าหากพะยูนในน่านน้ำไทยตายปีละ 5 ตัว พะยูนจะหมดไปภายใน 60 ปี และเหลือ 169 ตัว ในการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2560


ความเชื่อ
พะยูน เป็นสัตว์ที่ทำให้นักเดินเรือในยุคกลางเชื่อว่าคือ นางเงือก เนื่องจากแม่พะยูนเวลาให้นมลูกมักจะกอดอยู่กับอกและตั้งฉากกับท้องทะเล ทำให้แลเห็นในระยะไกลคล้ายผู้หญิงอยู่ในน้ำ พะยูนมีชื่อเรียกในภาษายาวีว่า "ดูหยง" อันมีความหมายว่า "หญิงสาว" หรือ "ผู้หญิงแห่งท้องทะเล" มีนิทานพื้นบ้านเล่าว่า พะยูน เดิมเป็นผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และอยากกินหญ้าทะเล ผู้เป็นสามีจึงไปนำหญ้าทะเลมาให้ แต่ว่าไม่พอแก่ใจ จึงลงไปกินหญ้าทะเลเองในน้ำ เมื่อน้ำทะเลขึ้น ก็กลายเป็นพะยูนไป และได้ให้สัญญากับสามีว่า หากต้องการพบให้ปักเสาไม้ลงไปหนึ่งเสา และจะมาที่เสานี้ตามที่เรียก
มีความเชื่อว่า ทั้งเนื้อ, กระดูก และเขี้ยวพะยูน มีคุณสมบัติทางเมตตามหานิยม เขี้ยวพะยูนมีชื่อเรียกเฉพาะในแวดวงการค้าในตลาดมืดว่า "งาช้างน้ำ" ทั้งเขี้ยวและกระดูกพะยูนมีราคาซื้อขายที่แพงมาก โดยมักนำไปทำเป็นหัวแหวน เหมือนกับหนามปลากระเบน นอกจากนี้แล้วยังเชื่อว่าน้ำตาพะยูนและเขี้ยวพะยูนมีอำนาจในทางทำให้เพศตรงข้ามลุ่มหลงคล้ายน้ำมันพรายซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดๆและไม่ควรทำตามอย่างยิ่ง เพราะไม่สามารถเป็นจริงได้

ที่มา: พะยูน

กระรอกน้อย

กระรอกน้อย

       สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะเเนะนำให้ทุกคนรู้จักกับเจ้ากระรอกน้อยเเสนน่ารักกันค่ะ เขาชอบอาศัยอยู่ในโพรง หรือหลายคนอาจรู้จักกันเป็นอย่างดี เราไปรู้จักกับพวกเขากันเลยค่ะ



กระรอก
     กระรอก(ภาษาไทยถิ่นเหนือ: ฮอก) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดลำตัวเล็ก ขนปุยปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย นัยน์ตากลมดำ หางเป็นพวงฟู จัดอยู่ในประเภทสัตว์ฟันแทะ ในวงศ์ Sciuridae

สายพันธุ์
กระรอกอาจแบ่งได้เป็น 3 พวกใหญ่ ๆ ได้แก่ กระรอกต้นไม้, กระรอกดิน และ กระรอกบินวงศ์กระรอกมี วงศ์ย่อย 2 วงศ์ คือ Pteromyinae ได้แก่ กระรอกบิน และวงศ์ Sciurinae ได้แก่ กระรอกต้นไม้, กระรอกดิน, ชิพมังค์  ในขณะที่บางข้อมูลแบ่งเป็น 5 (ดูในตาราง)


ลักษณะ
กระรอกต้นไม้ เป็นกระรอกที่มักพบเห็นได้บ่อยและคุ้นเคยกันดี มีหางยาวเป็นพวงสวยงาม มีกรงเล็บแหลมคม และมีใบหูใหญ่ บางชนิดมีปอยขนที่หู ส่วนกระรอกบินนั้น จะมีพังผืดข้างลำตัว สำหรับกางเพื่อร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง มักเป็นหากินในตอนกลางคืน มีตาสะท้อนแสงไฟ กระรอกดิน มักจะมีรูปร่างสั้น และล่ำสันกว่ากระรอกต้นไม้ มีขาหน้าแข็งแรงใช้สำหรับการขุดดิน หางของกระรอกดินนั้นจะสั้นกว่าหางของกระรอกต้นไม้ และไม่ฟูเป็นพวงนัก และเช่นเดียวกับสัตว์ฟันกัดแทะชนิดอื่น ๆ กระรอกจะมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 5 นิ้ว และ นิ้วเท้าหน้าข้างละ 4 นิ้ว ตรงส่วนที่น่าจะเป็นนิ้วโป้งจะกลายเป็นปุ่มนูน ๆ ซึ่งถูกพัฒนาให้เหมาะสำหรับจับอาหารมาแทะ
กระรอกเป็นสัตว์ที่คล่องแคล่วว่องไวมาก อาหารของกระรอกคือ ผลไม้ และ เมล็ดพืช เป็นหลัก แต่กระรอกก็ยังชอบกินแมลงด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะกระรอกขนาดใหญ่อย่างพญากระรอก นั้นบางครั้งก็ยังกินไข่นกเป็นอาหารอีกด้วย
ด้วยความน่ารักของกระรอก ทำให้กระรอกหลายชนิดนิยมเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ เพื่อความเพลิดเพลิน
กระรอกดิน เป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นหลัก เช่น ถั่วผลเบอร์รี่ ดอกไม้ และต้นโอ๊ก แต่น้อยคนที่จะรู้ว่ากระรอกบางตัวกินแมลงด้วยนะ ซึ่งพวกมันจะจับแมลงกินเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมวิตามิน และธาตุอาหารบางชนิดที่ไม่มีในพืชผลไม้


กระรอกเป็นสัตว์ฉลาด
คุณอาจจะคิดว่าสัตว์ป่าที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงอาจไม่กล้าเข้าใกล้มนุษย์ แต่จริงๆ แล้วบางครั้งสัตว์เหล่านี้ก็เป็นมิตรเหมือนกันนะ แถมยังคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่ใกล้ๆ กับมนุษย์อีกด้วย บางตัวถึงขั้นเข้ามาขออาหารจากมือของเราเลยล่ะ
    ผู้คนส่วนใหญ่มักมองว่าสุนัขเป็นสัตว์ฉลาด ซึ่งเราได้มองข้ามสัตว์ตัวน้อยๆ อย่างกระรอกไป เพราะในความเป็นจริงแล้วกระรอกก็เป็นสัตว์ที่ฉลาดมากเหมือนกันเมื่อคุณได้เห็นกระรอกอ้วนขึ้นกว่าปกติในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณอาจจะสงสัยว่ามันไปทำอะไรมาน้า จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าเมื่อถึงช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศที่อบอุ่นกว่าปกติ จะทำให้อาหารสมบูรณ์มาก และนั่นก็ทำให้เจ้ากระรอกกินเยอะขึ้น และก็ทำให้มันอ้วนพีขึ้นนั่นเอง

อาหาร

    เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เจ้ากระรอกตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่ร้านไอศกรีม Fantasy Isle Ice Cream และมินิกอล์ฟในนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งมันได้เข้ามาร่วมทานไอศกรีมที่ทางเจ้าของได้ทำให้มันเป็นพิเศษและนั่นก็ทำให้มันได้กลายเป็นกระรอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง แถมยังสามารถดึงดูดลูกค้าให้มาชื่นชมตัวจริงเสียงจริงของมันที่ร้านอีกด้วย งานนี้ทำให้เจ้าของธุรกิจได้รับผลพลอยได้ไปแบบเต็มๆวันไหนที่คุณโชคดี คุณอาจจะได้เห็นเจ้ากระรอกน้อยมาพร้อมกับท่ากายกรรม ขณะที่กำลังแทะกินเมล็ดถั่วอย่างสุขใจ และนั่นก็ทำให้เรารู้ว่าเจ้าสัตว์ชนิดนี้มันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แถมยังแข็งแรงมากๆ อีกด้วย


วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2562

นกสาลิกาเขียว

นกสาลิกาเขียว

      สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะพาทุกคนไปรู้จักกับนกสาลิกาเขียวกันค่ะ
เขาเป็นนกชนิดหนึ่งที่มีสีสันสวยงาม เราไปรู้จักกับพวกเขากันเลยค่ะ



นกสาลิกาเขียว
 (อังกฤษCommon green magpieชื่อวิทยาศาสตร์Cissa chinensis) เป็นนกชนิดหนึ่งในวงศ์นกกา (Corvidae) มีขนาด 38 ​เซนติ​เมตร มีปากหนาสี​แดงสด วงรอบตาสี​แดง​และมี​แถบสีดำคาด​เหมือนหน้ากาก บริ​เวณกระหม่อมสี​เขียวอม​เหลือง ลำตัวด้านบนสี​เขียวสด ​ใต้ท้องสี​เขียวอ่อน ช่วงปีกตรงหัว​ไหล่​เป็นสี​เขียว ปลายปีก​เป็นสี​แดง​เข้ม ​และตอน​ในของขนกลางปีกมี​แถบสีดำสลับขาว ขาสี​แดงสด ​ใต้หางมีสีดำสลับขาว ​และส่วนปลายหางจะ​เป็นสีขาว ร้องดัง “กวีก.ก..กวีก..ก..ก....”


การเเพร่พันธุ์

     กระจายพันธุ์ในเทือกเขาหิมาลัยในตอนเหนือของภาคตะวันออกของประเทศอินเดียไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านภาคกลางของประเทศไทย มาเลเซียถึงเกาะสุมาตราและทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะบอร์เนียว ในป่าไม่ผลัดใบ ป่า​เบญจพรรณ


การออกหากิน
นกหากินเป็นคู่หรือเป็นฝูงตามต้นไม้และพื้นดิน กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก ลูกนก และไข่เป็นอาหาร ทำรังอยู่ตามง่าม​ไม้ รัง​ทำจากกิ่ง​ไม้ ​ใบ​ไม้​แห้ง ​และ​ใบ​ไผ่ วางซ้อนกัน​และสาน​ไปมา​เป็นรูปลักษณะถ้วยตื้นๆ ตรงกลางมีกิ่ง​ไม้​เล็กวางรองอีกชั้น ออก​ไข่ครั้งละ 4 - 6 ฟอง



การหาอาหาร
   นกหากินเป็นคู่หรือเป็นฝูงตามต้นไม้และพื้นดิน กินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก ลูกนก และไข่เป็นอาหาร ทำรังอยู่ตามง่าม​ไม้ รัง​ทำจากกิ่ง​ไม้ ​ใบ​ไม้​แห้ง ​และ​ใบ​ไผ่ วางซ้อนกัน​และสาน​ไปมา​เป็นรูปลักษณะถ้วยตื้นๆ ตรงกลางมีกิ่ง​ไม้​เล็กวางรองอีกชั้น


นกบลูเจย์

นกบลูเจย์

      สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันจะเเนะนำให้ทุกคนรู้จักกับนกบลูเจย์กันค่ะ
หรือหลายคนอาจรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่เเล้ว ไปรู้จักกับพวกเขากันเลยค่ะ



นกบลูเจย์
     บลูเจย์ (lat. Ceanocitta cristyata) เป็นนกที่มีลักษณะสดใสและน่าทึ่งมากจากครอบครัว Vranov (lat corvidae) ของ Passeriformes (lat. Passeriformes) เมื่อ Mark Twain กล่าวว่าเจย์เรียกว่านกเนื่องจากมีขนและไม่ได้ไปโบสถ์ มิฉะนั้นพวกเขาทำสิ่งเดียวกับคน พวกเขาสาบานไหวพริบและโกหกทุกครั้ง
      Blue Jay มีชื่อเสียงในเรื่อง prankster ที่มีเสียงดัง เธอเป็นที่รู้จักสำหรับเสียงแหลมเจาะของเธอและความสามารถของเธอที่จะเลียนแบบเสียงกรีดร้องดังของเหยี่ยว นกมักใช้วิธีนี้เพื่อขับรถคู่แข่งออกจากตัวป้อน เคล็ดลับนี้ใช้ได้นาน โดยปกติหลังจากที่ในขณะที่นกรบกวนกลับมา บางครั้งเจย์ก็พอใจกับคนที่อยู่รอบตัวเขาด้วยเพลงนุ่มนวลและเงียบหรือการเลียนแบบเสียงของ songbirds แม้จะมีขนนกสีสดใสนกตัวนี้สามารถปลอมตัวอยู่ในกิ่งก้านของต้นไม้แม้ทุกอย่างจะปกคลุมด้วยหิมะ เจย์เป็นนักเลียนแบบที่ยอดเยี่ยม พวกเขาเลียนแบบการพูดของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
    การสื่อสารเจย์กับแต่ละอื่น ๆ จะเกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือของกระจุก ในช่วงความตื่นเต้นหรือการไหลบ่าของอารมณ์เชิงลบยอดขึ้นในแนวตั้งขึ้น ในนกที่แปลกใจเขาถูกชี้นำไปข้างหน้า ในรูปของเจย์ที่น่ากลัวยอดคล้ายกับแปรงขวดที่กระเซิง



ที่อยู่อาศัย
     ที่อยู่อาศัยของเจย์สีฟ้าตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งทั้งหมดของทวีปอเมริกาเหนือ ตามกฎนกเหล่านี้อาศัยอยู่ในฝูงเล็ก ๆ เจย์เป็นนกอพยพบางส่วนเนื่องจากมีเพียงประชากรทางตอนเหนือที่ถูกส่งไปเพื่อเดินทางไปทางใต้เท่านั้น ในระหว่างการบินฝูงแกะตั้งแต่ 5 ถึง 3,000 ตัวไปในระหว่างวัน ในฤดูหนาวเจย์มักบินเข้ามาในเขตชานเมืองสวนสาธารณะและพื้นที่เพาะปลูก
     อาหารของนกบลูเจย์ประกอบด้วยถั่วต่างๆเมล็ดแมลงผลเบอร์รี่และสัตว์เล็ก ๆ เจย์สีฟ้ามักทำลายซากของคนอื่น เธอทำให้หุ้นสำหรับฤดูหนาวในโพรงไม้เก่าในรอยแยกระหว่างเปลือกหุ้มเมล็ดในใบลดลงและจึงส่งเสริมการทำสำเนาของพุ่มไม้และต้นไม้ ในหนึ่งวันเจย์สามารถซ่อนได้ถึง 5,000 ต้นโอ๊ก ในคราวเดียวนกมีลูกโอ๊กอยู่ประมาณ 5 ตัว
     บลูเจย์โดดเด่นด้วยปัญญาและไหวพริบ สังเกตเห็นอันตรายเธอทันทีเริ่มที่จะทำให้ร้องเสียงกรีดเตือนนกและสัตว์ทั้งหมด เมื่อผู้รุกรานปรากฏขึ้นนกรวมกันอยู่ในฝูงและโจมตีมัน
การเลือกคู่
      บลูเจย์เลือกคู่ครองเพื่อชีวิต คู่สมรสสื่อสารโดยใช้เสียงเตือนความทรงจำของปั๊มที่เป็นสนิม นกสร้างรังเรียบร้อยในกิ่งก้านของพุ่มไม้หรือต้นไม้ที่ความสูงประมาณ 3 ถึง 10 เมตร พวกเขาสร้างมันขึ้นมาจากเศษเล็กเศษน้อยสดใหม่ ด้านล่างของรังจะเรียงรายไปด้วยราก ทั้งหมดนี้จะวางแน่นหนาและบางครั้งคงที่กับดินเหนียว การให้นมบุตรหมายถึงพิธีกรรม มีการเลี้ยงดูท่าทางของเจี๊ยบซึ่งขออาหารผู้หญิงกำลังรอให้ชายคนนั้นให้อาหาร

การสืบพันธุ์
      หญิงมีส่วนร่วมในการบ่มลูกไก่ ปีละสองครั้งเธอวางไข่ในปริมาณตั้งแต่สามถึงหกชิ้น ในกรณีที่นักล่าได้ค้นพบรังนกจะทิ้งไว้ตลอดไป ในคลัทช์เดียวมีไข่สีเขียว - เหลือง 7 สีหรือสีน้ำเงินที่มีจุดสีดำ หลังจาก 8 วันลูกไก่จะคลอด พ่อแม่ทั้งสองคนเลี้ยงลูกและดูแลทารก พวกเขาทำความสะอาดขนของพวกเขาอุ่นพวกเขาและปกป้องพวกเขาจากอันตราย หลังจากผ่านไป 5 วันลูกไก่ก็เปิดตาของพวกเขาและหลังจากสัปดาห์ขนนกก็เริ่มโตขึ้น สองสามวันก่อนเที่ยวบินแรกทารกเริ่มออกจากรังและเดินไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ มากกว่า 5 เมตรพวกเขาไม่ได้ย้ายออกไปจากเขา ลูกไก่ 20 วันหลังคลอดของพวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะบินได้อย่างไร แต่พวกมันไม่ได้บินจากรังมากกว่า 20 เมตร ตลอดฤดูใบไม้ร่วงที่เด็กอยู่ใกล้กับพ่อแม่ของพวกเขาและโดยฤดูหนาวกลายเป็นอิสระ
     การลอกคราบครั้งแรกในเด็กและเยาวชนเกิดขึ้นในปลายเดือนสิงหาคม นกผู้ใหญ่เริ่มไหลในเดือนกรกฎาคมและเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน ในช่วงระยะเวลาการลอกเลียนแบบมหรสพจะอาบน้ำมดและบางครั้งจะบรรจุแมลงไว้ใต้ขนของมัน
     มันเป็นเรื่องง่ายที่จะแยกแยะความแตกต่างจากนกอื่น ๆ โดยนกสีฟ้าสีดำและสีขาวหางลายด้านหลังสีน้ำเงินกระจุกสีฟ้าสั้นสีดำตั้งอยู่บนปีกสร้อยคอรอบคอและรูปแบบสีดำขาวน้ำเงิน นกตัวเล็ก ๆ มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม ความยาวของลำตัวไม่เกิน 30 ซม. และนกเพนกวินถึง 40 ซม.อายุขัยของนกกระจอกสีฟ้าแตกต่างกันไปในช่วง 10 ถึง 18 ปีขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
      เจย์สีฟ้าเป็นสมาชิกของครอบครัว corvidae เหล่านี้เป็นเพลงซ่อง ๆ พวกเขาอาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ: ในแคนาดาสหรัฐอเมริกาและบริติชโคลัมเบียนกบลูเจย์ (Blue jays) เรียกว่านกกระเต็น (chimney), นกสีฟ้า (blue jays) และนกบลูเจย์ (North American jays)คำอธิบาย Blue Jay
      นกบลูเจย์เป็นนกที่สวยงามมากซึ่งเป็นเครื่องประดับหลักที่มีกระจุกสีฟ้าสดใสเป็นเวลานาน หางยาวยาวอีกด้วย ปลาวาฬมีความแข็งแรงพวกเขาสามารถแบ่ง jays กับเปลือกแข็งได้อย่างง่ายดาย สีของตัวผู้และตัวเมียจะเหมือนกัน แต่ขนาดของตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย


      ความยาวของลำตัวของนกบลูเจย์แตกต่างกันไปตั้งแต่ 25 ถึง 29 เซนติเมตรปีกกว้าง 34-43 เซนติเมตรและหางมีความยาวถึง 13 เซนติเมตร น้ำหนักตั้งแต่ 70 ถึง 100 กรัม นกกระยางที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือของพื้นที่มีขนาดใหญ่
      ขนนกของนกอินทรีอเมริกาเหนือเป็นสีฟ้าสดใส ยอดเป็นสีฟ้าสดใสหรือสีฟ้าม่วงมีสีดำมีสีดำมีแหวนสีดำล้อมรอบดวงตา ขนนกใต้กระจุกสีดำ ลำคอและส่วนล่างทั้งหมดของร่างกายมีสีเทาขาว
      สายบังเหียนเป็นสีดำและแก้มเป็นสีขาว พวงมาลัยและเที่ยวบินขนสีฟ้ากับทแยงมุมลายเส้นสีดำ มีจุดสีขาวบนปีกและหาง ขอบของหางมีสีขาว ตาและอุ้งเท้ามืด ขนนกที่แท้จริงของนกบลูเจย์ไม่ได้เป็นสีฟ้าผลกระทบนี้เกิดจากการบิดเบี้ยวของแสงภายในโครงสร้างของขนนกและผลกระทบนี้จะหายไปสำหรับขนขนที่หยิบขึ้นมา

ที่มา: นกบลูเจย์